ประวัติพระครูปลัดธนาทร (หลวงพ่อไฉน ฉนฺทสาโร)
การเดินธุดงค์เมื่อปี ๓๐ ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ณ. อุทยานน้ำหนาว เมื่อสมัยนั้นยังเป็นป่าดงดิบ อยู่เลย ท่านจำได้ว่าตอนเที่ยงวันแทบจะมองไม่เห็นพระอาทิตย์เลย และอากาศเย็นมากๆ ท่านได้เดินเข้าไปอยู่ในป่าลึกเพื่อฝึกสมาธิให้แกร่งยิ่งขึ้น และขอเรียนวิชากับป่า จนคืนหนึ่งระหว่างที่กำลังปฏิบัติธรรมตามปกติ ในนิมิตมีฤๅษีองค์หนึ่งมาปรากฏและยังมีแนะนำในเรื่องการดูธาตุของ คนหรือพูดอีกอย่างก็คือสอนให้ดูดวงนั้นเอง เรียกว่าตรวจดูธาตุสี่ แต่การสอนของท่านๆเป็นการพูดให้ฟังและจำเอาเองจำจดไม่ใช่จดจำเป็นการเรียนในสมาธิเสร็จแล้วจึงออกจากสมาธิมาจดเป็นอักษร ท่านจึงใช้อยู่ทุกวันนี้ ในสถานที่เดียวกันคือ ป่าอุทยานน้ำหนาว ระหว่างการเดินอยู่ในป่า ท่านก็เดินในตอนกลางวันพอสี่โมงเย็นก็ต้องหาที่พักใหม่ทุกวันระหว่างที่เดินก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังเดินตามเสือโคร่งอยู่เห็นรอยเท้าอยู่ทางที่จะลงลำธารเป็นลอยขนาดใหญ่กว่ากำปั้นสักหน่อย ลองเอามือแตะดูยังอุ่นอยู่เลย แต่ท่านต้องเดินทางไปเส้นทางนั้น ท่านจึงเดินข้ามลำธารไปอีกฝั่งหนึ่ง แล้วเดินเลี้ยวซ้ายไปซัก๒๐ เมตร แล้วเลี้ยวขวาอีกที ท่านต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเสือโคร่งขนาดใหญ่ เดินเบื้องหน้าท่านประมาณ ๕๐ เมตร เมื่อตั้งสติได้ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตาให้กับเสือ ไม่น่าเชื่อเสือตัวนั้นก็เดินเลี้ยวซ้ายหายไป ท่านจึงเดินทางต่อไป เมื่อตกตอนเย็นประมาณ๔ ทุ่ม ท่านก็ปักกลดของท่านและทำกิจกรรมต่างๆ และทำสมาธิเช่นเคย ท่านจะมีพระพุทธรูปองค์เล็กๆติดตัวไปด้วยไว้ทำวัตรสวดมนต์ คืนนั้นท่านก็ทำวัตรสวดมนต์เหมือนเคยและนำพระพุทธมาวางบนแคร่เล็กๆเพี่อสวดมนต์ เมื่อสวดมนต์ก็ทำสมาธิจนดึก ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรลากเข้ามาใกล้กลดเสียงดังแสกๆเข้ามาใกล้ๆเรื่อยๆ จึงลืมตาดูในบริเวณที่นอนต้องจุดไฟไว้หนึ่งกองจึงทำให้มองเห็นงูตัวใหญ่มากๆตัวหนึ่ง ( ลองกางแขนให้สุดนั้นคือความใหญ่ไม่รวมความยาว) มาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าพระพุทธรูป และแผ่พังพานโน้มหัวลง ทำความเคารพพระพุทธอยู่ ๓ ครั้ง แล้วจึงหันไปโดยรอบ เหมือนจะบอกว่าอย่ามายุ่งพระท่านปฏิบัติธรรมอยู่ แล้วงูใหญ่ก็เอาหัวลง ที่ข้างหลังงูซิ มีผู้ชายใส่ชุดขาวผมขาวแก่มากเกล้าผมมวยนั่งอยู่บนหลังงู หนวดเครายาวมาก แล้วงูใหญ่ก็เลี้ยวลอดใต้แคร่ ที่วางพระพุทธรูปไปได้ แคร่ตัวนั้นสูงประมาณครึ่งศอก กว้างครึ่งซอกแต่งูใหญ่เลื้อยผ่านไปได้ หน้าประหลาดมากเดินป่าที่เขาชะเมา จังหวัดระยอง เป็นการเดินป่าที่แสนทุลักทุเล เพราะต้องเดินใต้หน้าผาขึ้นไปข้างบน บางช่วงก็เดินสบาย บางช่วงก็ไต่เถาวัลย์แล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไป เมื่อขึ้นถึงข้างบนจะเป็นลักษณะคล้ายทางเดิน ทางด้ายซ้ายมือมีลำธาร ด้านขวามือป่าไผ่ที่หนาทึบมาก ยากที่คนจะเดินเข้าไปได้ อยู่ๆก็มีช้างป่าตัวใหญ่เดินออกจากป่าไผ่ มายืนกินน้ำอยู่ที่ลำธาร ท่านจึงหยุดเดินช้างนั้นหยุดกินน้ำและหันมาทางท่าน แล้วทำท่าเหมือนโกรธกระพือหู แกว่งงวงไปมา ส่งเสียงฟึดฟาดใส่ท่าน ท่านก็หยุดนิ่ง และแผ่เมตตาอีกใจหนึ่งก็กลัว ๆ กล้าๆ แต่คนเราเมื่อถึงคราวจะตายก็ต้องตาย ถ้าเคยมีกรรมต่อกันมา สักพักช้างก็เดินเข้าไปในป่าไผ่แล้วหายไป ท่านจึงเดินต่อเมื่อมาถึงตรงที่ช้างหายไป ท่านจึงหันหน้าไปดู ธรรมดาต้องมีรอยแหวกของต้นไผ่ แต่กับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ได้พบหลวงปู่คำคะนิง ท่านได้มีโอกาสที่จะเดินธุดงค์เป็นประจำ มีอยู่ปีหนึ่งที่ท่านได้พักอยู่ที่วัดคลองปลัดเปลี่ยง วันหนึ่งขวัญจิต ศรีประจัญ ได้จัดงานทำบุญบ้านหลังใหม่ ที่โยมขวัญจิตได้ซื้อไว้ที่สายบางนา และในวันงานนั้นโยมขวัญจิตได้นิมนต์แต่พระปฏิบัติ มาสวดมนต์หนึ่งในนั้นมีท่านและหลวงพี่หมูอยู่ด้วย เมื่อท่านไปถึงบ้าน โยมขวัญจิตบอกว่าหลวงปู่คำคะนิงอยู่บนบ้านที่ห้องพระ ท่านจึงได้ขึ้นไปกราบนมัสการหลวงปู่ แต่ว่าหลวงปู่ท่านทำสมาธิอยู่จึงไม่รบกวน สักพักหลวงปู่ท่านคลายจากสมาธิ ท่านจึงเข้าไปกราบหลวงปู่คะนิงที่ตัก ซึ่งคำแรกที่หลวงปู่คำคะนิงพูดท่านพูดกับหลวงพ่อไฉนด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “รอมานานแล้ว”และหลวงปู่ท่านช้อนมือของท่านขึ้น แล้วบอกว่า ”อย่าสึกจากพระนะ จะได้เป็นใหญ่เป็นโตในทางพระพุทธศาสนา” แล้วหลวงปู่ก็เอามือของท่านมาจับที่ศีรษะของหลวงพ่อไฉนแล้วจึงเป่าวิชาประสิทธิให้ หลวงปู่ท่านบอกว่าสักวันจะรู้เอง สิ่งที่หลวงปู่ให้คือวิชาหรืออะไรสักอย่างที่ได้จากหลวงปู่คำคะนิงซึ่งนั่นก็คือวิชาฤษีแปลงสารในทุ่งใหญ่นเรศวร เมื่อครั้งที่ท่านเดินธุดงค์เข้าสู่ทุ่งใหญ่นเรศวร จะมีพระหลายรูปบอกท่านว่าเดินธุดงค์ที่ไหนก็ได้ แต่อย่าไปเดินแถวทุ่งใหญ่นเรศวร เพราะพระสงฆ์ไปตายกันมากแต่ท่านก็เข้าไป ไม่ใช่อยากลองดีแต่อยากรู้ว่าที่ตายนั้นอยู่ตรงไหน ท่านคิดว่าคนเราเมื่อถึงคราวตายอยู่ตรงไหนก็ตายถ้าเราเคยตายตรงนั้น มันก็ต้องมาตายตรงที่เดิมจึงทำให้ท่านตัดสินใจเดินธุดงค์ทุ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว หลังจากที่ท่านเดินทางถึงทุ่งใหญ่ยิ่งลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ก็ได้รู้ว่ามีอะไรที่ท่านจะต้องค้นหาและได้เจออีกมาก ในทุ่งใหญ่นั้นมีพระสงฆ์จำนวนมากที่เอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เพราะความโลภหรือเพราะความเจ็บป่วยอย่างหนักจนต้องเอาชีวิตมาทิ้ง ในสถานที่บางที่มีโครงกระดูกหรือเศษจีวรพร้อมทั้งบาตรถูกทิ้งอยู่ เมื่อท่านปักกลดและสวดมนต์ในยามค่ำคืนจะมีเสียงพระสวดมนต์อยู่บริเวณใกล้ ๆ กลดนั้นอย่างมาก ท่านจึงตั้งจิตแผ่เมตตาให้เสียงเหล่านั้นก็จะเงียบหายไป ในทุ่งใหญ่ยังมีพระสงฆ์ที่กลายเป็นฤาษีอีกมาก เพระไม่ได้โกนผมปลงหนวดกันเครา จีวรก็เก่าและขาด เป็นพระสงฆ์ที่มีอภิญญาสูง ๆ อีกมาก พระฤาษีเหล่านั้นหนีความวุ่นวายทางโลก ไม่หวนกลับมาอีก ต่อเมื่อศาสนาใกล้เสื่อม พระเหล่านั้นจะออกจากป่ามาช่วยเหลือศาสนา
จีวรยังไม่ไหม้
เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ที่ผ่านมา หลวงพ่อไฉนท่านได้เดินทางไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดโนนตากลาง อ.โนนสูง จ.นครราชสีมาโดยตอนเย็นของวันนั้นท่านจะต้องปลุกเสกวัตถุมงคลก่อนหลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นจะเป็นพิธีครอบครูให้กับลูกศิษย์ลูกหา ในขณะที่ท่านทำพิธีนั่งปลุกเสกนั้นท่านจะใช้โอ่งในการใส่น้ำเพื่อทำน้ำมนต์โดยวางไม้กระดานไว้บนปากโอ่งแล้วใช้เทียนใหญ่ขนาดเท่าแขน ๒เล่มวางไว้บนไม้กระดานแล้วจึงเริ่มทำการอธิษฐานจิตปลุกเสกพร้อมกับทำน้ำมนต์ไปด้วย แต่สิ่งที่มหัศจรรย์คาดไม่ถึงก็คือในขณะที่ท่านนั่งหลับตาปลุกเสกอยู่นั้นเทียนเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนไม้กระดานนั้นไหลลงมาทั้งๆที่ยังมีไฟลุกอยู่ไหลลงมาใส่ท่านแล้ววางทับอยู่ที่จีวรกับขาของท่านในขณะที่เทียนไหลมาอยู่ที่จีวรตรงขาของท่านนั้นไฟยังลุกอยู่แรงมากจนชาวบ้านและพระเจ้าอาวาสที่วัดโนนตากลางนั้นต่างพากันตกใจชาวบ้านยังพากันพูดว่าไฟไหม้ หลวงพ่อไฟไหม้และสังเกตดูท่านนั่งอธิษฐานจิตปลุกเสกท้ามกลางเปลวเทียนอยู่ได้นานสักพักหลังจากนั้นพระเจ้าอาวาสวัดโนนตากลางจึงได้เดินไปหยิบเทียนออกแล้วน้ำไปวางไว้ที่เดิมแต่หลังจากที่ยกเทียนออกจากท่านเจ้าอาวาสและชาวบ้านที่ได้เข้าร่วมพิธีนั้นต่างก็ตกใจกันเป็นอย่างมากเพราะบริเวณจีวรและขาของหลวงพ่อไฉนบริเวณที่เทียนไหลมาติดจีวรอยู่นั้นไม่มีรอยไหม้แม้แต่นิดเพราะว่าปกติไฟโดนผ้าก็จะต้องไหม้แต่ว่านี้โดนผ้าแล้วคาอยู่ตั้งนานกลับไม่เป็นอะไรเรื่องนี้ทำให้ผู้ที่พบเห็นและเข้าร่วมอยู่ในพิธีรวมถึงเจ้าอาวาสวัดโนนตากลางตกใจและเกิดความศรัทธาในพระอาจารย์ไฉนกันเป็นอย่างมากและทำให้วัตถุมงคลชุดนี้หมดไปอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นน้ำมันว่านที่ท่านเสก เหรียญหลวงปู่พรหมสรรอด และตะกรุด แถมในพิธียังมีการลองโดยใช้มีดกรีดหลังของผู้ที่มีวัตถุมงคลด้วย หลังจากที่ท่านได้ปลุกเสกเสร็จเจ้าอาวาสวัดโนนตากลางยังมาขอดูจีวรของท่านอีกทีเพื่อให้แน่ใจแต่กลับไม่มีรอยไหม้มีเพียงคราบน้ำตาเทียนติดอยู่ที่จีวรของท่าน
ด้วยอุปนิสัยส่วนตัวของหลวงพ่อท่านนั้นเป็นพระที่นิสัยร่างเริง อารมณ์ขัน แต่จะสงบนิ่งและจริงจังในพิธีต่างๆเช่าพิธีพุทธาภิเษก ท่านจะเปลี่ยนเป็นคนล่ะองค์กับเวลาที่อยุ่กับลูกศิษย์ลูกหา หากท่านใดมีโอกาสไปเที่ยวขอนแก่น ลองไปกราบท่านที่อ.บ้านฝาง ซึ่งห่างจากตัวเมืองเพียง๒๐กว่ากิโลเท่านั้น...
เรียบเรียงโดย ศักดิ์ศรี บุญรังศรี